จะรู้ได้อย่างไร ว่าเรากำลังมีปัญหาโรคซึมเศร้า!

จะรู้ได้อย่างไร ว่าเรากำลังมีปัญหาโรคซึมเศร้า!

ในช่วงนี้ อาจพบว่า เราได้ยินข่าวคราวของคนที่มีอาการซึมเศร้าบ่อยครั้งขึ้นทุกที ผลสำรวจก็บอกกับเราว่า คนไทยป่วยซึมเศร้า-ฆ่าตัวตาย ติดอันดับ 3 ของโลก จนเราพบว่า อาการซึมเศร้าอาจอยู่ใกล้ตัวมากกว่าที่คิด จนทำให้ความเสี่ยงจะป่วยเป็นโรคซึมเศร้ากันได้ทุกคน ไม่แน่ว่ามันอาจจะอยู่ในตัวเราโดยไม่ทันรู้ตัว แล้วเราจะแน่ใจได้อย่างไรล่ะ ว่าเราเป็นหรือไม่เป็นโรคซึมเศร้ากันแน่

ได้เวลามาสำรวจตัวเองกันแล้วล่ะ

1. ลืมตาตื่นขึ้นมาพบความจริงว่าไม่อยากทำอะไร
ถ้าตื่นขึ้นมาแล้วไม่อยากทำอะไร นอกจากนอน ไม่อยากจะออกไปไหนต่อไหน รู้สึกไม่พร้อมที่จะเริ่มต้นรับวันใหม่เหมือนก่อน เราค้นพบว่าการลุกขึ้นไปอาบน้ำนั้นยากขึ้น คิดไม่ออกว่าวันนี้เราจะต้องทำอะไร เรียบเรียงไม่ได้ รู้สึกว่างเปล่า อยากหายใจรดทิ้งแลกเปลี่ยนคาร์บอนไดออกไซด์กับต้นไม้ไปเสียอย่างนั้น

แต่ทั้งหมดนี้ต้องแยกให้ออกนะ ว่าเราไม่ได้แค่ขี้เกียจ แต่กำลังหดหู่อยู่จริงๆ

2. เบื่อหน่ายกับสิ่งที่รัก
จู่ๆ ก็พบว่า สิ่งที่เคยรู้สึกว่าทำแล้วสนุก มันกลับไม่สนุกอีกต่่อไปโดยไม่รู้สาเหตุ เช่นก่อนหน้านี้ เรามักจะออกไปแฮงก์เอาต์กับเพื่อนๆ หลังเลิกเรียนหรือหลังเลิกงาน เคยเป็นกิจกรรมที่ทำเป็นประจำ แต่เมื่อไปนั่งอยู่ในกลุ่มเพื่อนๆ เรากลับรู้สึกเข้าไม่ถึงการสนทนาทั้งๆ ที่เราก็นั่งอยู่ตรงนั้น ไม่รู้สึกเอ็นจอย มองไม่เห็นความสุขจากสิ่งที่รัก มันกลายเป็นแค่สิ่งที่เคยรักไป เหมือนกับว่าเรารู้ว่าเราชอบกินอะไร แล้วมันวางอยู่ตรงหน้า แต่ก็กินไม่ได้ มีคนเอาเงินมากองให้ล้านนึงเพื่อไปช็อปปิ้งจองตั๋วเที่ยวรอบโลก แต่ก็ไม่รู้ว่าจะออกไปซื้ออะไร หรืออยากไปไหนเพราะคิดไม่ออกว่าตัวเองชอบอะไร หมดอาลัยตายอยากกับชีวิต

3. แยกตัวปลีกวิเวก
การแยกตัวออกจากกลุ่มเพื่อนในบางครั้งก็ไม่ได้แปลว่าเราอินดี้หรือกำลังหาความสงบให้ใจหรอกนะ แต่มันเป็นเพราะเราไม่มีแรงที่จะออกไปสนุก แกล้งยิ้ม หรือซึมซับความรู้สึกต่างๆ ของคนภายนอก รู้สึกไม่สบายที่ต้องมานั่งฟังคนอื่นคุยกัน เพราะเราไม่รู้จะคุยอะไรหรือต่อบทสนทนาไม่ได้ ไม่อยากแต่งหน้า แต่งตัว แล้วก็เหนื่อยกับการต้องแกล้งยิ้ม แกล้งทำเหมือนโอเค ทั้งๆ ที่ข้างในรู้สึกไม่โอเคเลย

4. รู้สึกไอคิวหดเหลือ 0 ไม่มีสมาธิ
ถ้าจู่ๆ ก็อ่านประโยคง่ายๆ ไม่เข้าใจทั้งที่เป็นภาษาแม่ จับใจความไม่ได้ ต้องอ่านซ้ำๆ ย้ำคิดย้ำทำหลายๆ รอบว่าความหมายที่แท้จริงของประโยคตรงหน้านั้นคืออะไร ความรู้สึกโล่งและว่างเปล่านี้ทำให้เรารู้สึกว่าความรู้ในหัวที่สั่งสมมามันสูญหายไปกับอากาศอะไรประมาณนั้น ไม่ว่าจะพยายามเท่าไหร่ก็ไม่มีสมาธิที่จะเรียนหรือทำงาน พูดง่ายๆ คือ ไม่พร้อมที่จะออกไปใช้ชีวิตแบบปกติทั่วไป

5. ฉันมัน คือ ตัวประหลาด ที่แสนไร้ค่า
นอกจากคุณจะรู้สึกไม่อยากลุกจากเตียง ขาดแรงบันดาลใจ ไม่อยากเข้าสังคม รู้สึกว่าตัวเองห่วยที่เรียนหรือทำงานไม่ได้ ความรู้สึกต่อไปที่จะตามมาก็คือ รู้สึกเกลียดตัวเอง มองเห็นแต่สิ่งที่ไม่ดี เริ่มโทษตัวเองว่าที่เป็นแบบนี้ก็เพราะตัวเองอ่อนแอ ไม่สู้ เฟล กำลังทำให้คนอื่นเป็นห่วงจากท่าทีที่แปลกไป อยู่บ้านก็เป็นเพียงฝุ่นละอองไร้ประโยชน์ ออกไปอยู่ในสังคมก็เป็นเพียงส่วนเกิน เริ่มรู้สึกว่าตัวเองไม่คู่ควรกับความสุขหรือสิ่งดีๆ ที่คนอื่นพยายามทำให้เลย เพราะเรามันแย่...เรามันไม่ดีพอที่ใครจะมาทำดีกับเราด้วยซ้ำ แต่ลึกๆ ในใจกลับกลวงโบ๋และโหยหาบางสิ่งมาเติมเต็มให้กลับมาเป็นเหมือนเดิม

6. ตายไปเลยดีกว่า
หลังจากที่ไม่เห็นคุณค่าของการมีชีวิตอยู่แล้ว เราก็จะเริ่มตั้งคำถามว่าจะอยู่ไปทำไมกัน อยู่ไปก็มีแต่ความเศร้าเสียใจ ความว่างเปล่าความมืดมน อยากจะหลับๆ ไปเพื่อให้ความทรมานนี้พ้นผ่าน จนเรามีความคิดว่าอยากจะหยุดชีวิตลงไม่ว่าจะด้วยวิธีใดก็ตาม เริ่มคิดที่จะทำร้ายตัวเอง เริ่มสติแตกร้องไห้ ควบคุมตัวเองไม่ได้ คนอื่นก็ควบคุมเราไม่ได้ด้วยไม่เป็นตัวของตัวเองอีกต่อไป

ไม่มีใครรู้ว่าวันหนึ่ง เราจะเป็นโรคซึมเศร้าขึ้นมาหรือเปล่า ถ้าเราเกิดเป็นขึ้นมา คนใกล้ชิดจะอยู่ร่วมกันกับเราอย่างไร แต่ถ้าเราได้สังเกตตัวเองอยู่ตลอดเวลา ก็น่าจะดีกับทั้งตัวเราเองและกับคนรอบข้าง เพราะเราจะรู้ตัวเองอยู่ตลอดเวลาว่าเราเปลี่ยนแปลงไปในระดับไหน จะได้จัดการกับตัวเองได้ถูก

การรู้เท่าทันโรคซึมเศร้าว่ามันไม่ได้น่ากลัวอย่างที่คิด น่าจะทำให้เราเข้าใจตัวเองและเข้าใจคนรอบข้างมากขึ้น เราจะร่วมกันหาทางออก และผ่านเวลาแสนเศร้านี้ไปด้วยกัน

สามารถคลิกซื้อหนังสือ Depression Diary #มันไม่ได้เศร้าอย่างที่คิดหรอกนะ

Powered by MakeWebEasy.com
เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและประสบการณ์ที่ดีในการใช้งานเว็บไซต์ของท่าน ท่านสามารถอ่านรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว  และ  นโยบายคุกกี้